Dr. W EP 237: "หมอนรองกระดูกเสื่อม" vs "ปวดหลัง"... ควร "บอก" คนไข้แบบไหน? 🧐 งานวิจัย (2025) ชี้: "คำอธิบาย" สำคัญกว่า "ชื่อโรค"!
- Werachart Jaiaree
- 7 days ago
- 2 min read
สวัสดีครับ! Dr. W กลับมาอีกครั้งครับ! วันนี้เราจะมาคุยกันในหัวข้อที่ "ละเอียดอ่อน" แต่ "สำคัญที่สุด" หัวข้อหนึ่งในวงการกายภาพบำบัด นั่นคือ... "การตั้งชื่อโรค" หรือ "การติดป้ายฉลาก" (Diagnostic Labels) ครับ

เราในฐานะผู้ให้การรักษา มักจะต้องถกเถียงกันอยู่เสมอว่า... การบอก "ชื่อโรค" กับคนไข้... มัน "ช่วย" หรือ "ทำร้าย" พวกเขากันแน่?
"ผลกระทบของคำวินิจฉัย" (The "Diagnosis Effect")
การที่คนไข้ได้รับ "ป้ายฉลาก" (Label) หรือ "คำวินิจฉัย" (Diagnosis) หนึ่งอย่าง มันส่งผลกระทบต่อจิตใจและพฤติกรรมของพวกเขาอย่างมหาศาลครับ ซึ่งมันเป็นได้ทั้ง "ผลดี" และ "ผลร้าย":
ผลดี (The Good):
- คนไข้รู้สึก "โล่งใจ" (Relieved) ที่ในที่สุดก็รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
- ช่วย "ลดความเครียด" (De-stressing)
- ช่วย "ยืนยัน" ว่าอาการปวดของพวกเขา "เป็นเรื่องจริง" (Validation)
- สร้าง "แรงจูงใจ" ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเชิงบวก (เช่น เริ่มออกกำลังกาย, คุมอาหาร, หรือกินยาตามสั่ง)
ผลร้าย (The Bad):
- เกิด "ความกลัว" (Fear) และ "ความวิตกกังวล" (Anxiety)
- เกิด "ภาวะ Nocebo" (ผลเสียที่เกิดจากความเชื่อเชิงลบ)
- เกิดภาวะ "ระแวดระวังร่างกายตัวเองมากเกินไป" (Hypervigilance) และนำไปสู่พฤติกรรมที่ "ผิด" (Maladaptive) เช่น การ "เลี่ยง" การเคลื่อนไหวทุกอย่างที่คิดว่าจะทำร้ายตัวเอง
"กับดัก" ของผู้รักษา (The Clinician Trap):
ตัวผู้รักษาเองก็ได้รับผลกระทบ! การที่เรา "ปักธง" (Anchoring) คำวินิจฉัยเร็วเกินไป อาจทำให้เรา "มีอคติ" (Bias) และมองคนไข้ผ่านเลนส์นั้นเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างคลาสสิก: เราวินิจฉัยคนไข้ว่าเป็น "ข้อเข่าเสื่อม" (Knee Arthritis) และพยายามรักษาแต่ที่เข่า โดย "พลาด" ที่จะมองว่าอาการปวดเข่านั้น อาจมีสาเหตุมาจาก "หลังส่วนล่าง" (Lumbar referral) ก็เป็นได้
📘 การศึกษาวิจัย: คนไข้ "คิด" อย่างไรกับ "ชื่อโรค"? (Martin et al., 2025)
เนื่องจากอาการปวด (MSK Pain) กำลังเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ "ชื่อโรค" จึงสำคัญมาก
งานวิจัยแบบ Systematic Review และ Meta-synthesis โดย Martin และคณะ (2025) ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเพื่อตอบคำถาม 2 ข้อนี้ครับ:
คนไข้และคนทั่วไป "รับรู้" ต่อ "ชื่อโรค" ที่เกี่ยวกับอาการปวดอย่างไร?
"ชื่อโรค" เหล่านี้ ส่งผลต่อ ความเชื่อ, อารมณ์, และทางเลือกในการรักษาของพวกเขา อย่างไร?
นักวิจัยได้รวบรวมงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative studies) ที่ให้คนไข้ที่มีอาการปวด อ่าน "สถานการณ์จำลอง" (Hypothetical vignettes) แล้วดูว่าพวกเขาตอบสนองอย่างไร
📊 ผลลัพธ์: ความขัดแย้งระหว่าง "ความชัดเจน" กับ "ความกลัว"
แม้ว่าความชอบของคนไข้จะมีความหลากหลายมาก แต่นักวิจัยพบ 4 ธีมหลักที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ครับ:
1. คนไข้ "ต้องการ" คำวินิจฉัย (Patients Value Diagnoses):
นี่คือสิ่งที่สำคัญมาก คนไข้ "อยากรู้" ว่าตัวเองเป็นอะไร เพราะมันช่วย "ยืนยัน" (Validate) ว่าความเจ็บปวดของพวกเขาเป็นเรื่องจริง และช่วย "นำทาง" ว่าควรจะรักษาอย่างไร
2. คนไข้ "ไม่ชอบ" ศัพท์เทคนิค (Jargon Leads to Frustration):
การอธิบายที่ไม่ชัดเจน การใช้ศัพท์แพทย์ที่ซับซ้อนโดยไม่อธิบาย... ทำให้คนไข้ "สับสน" และ "หงุดหงิด"
3. "ศึก" ระหว่าง "ชื่อโรคเฉพาะทาง" vs "ชื่อโรคกว้างๆ": นี่คือหัวใจของงานวิจัยนี้ครับ!
ถ้าใช้ "ชื่อโรคเฉพาะทาง" (Specific Diagnostic Labels)
(เช่น "หมอนรองกระดูกปลิ้น", "เอ็นไหล่ฉีกขาด", "กระดูกสันหลังเสื่อม")
ข้อดี: คนไข้รู้สึก "ได้รับการยืนยัน" (Validating), รู้สึกว่ามัน "เป็นเรื่องจริงจัง" ที่สามารถเอาไปใช้ลางานหรืออธิบายให้ครอบครัวฟังได้
ข้อเสีย: มันส่งเสริม "ความกลัว" (Fear) , ทำให้คนไข้มองปัญหาผ่าน "มุมมองเชิงชีวการแพทย์" (Biomedical view) (เช่น "ของมันพัง มันต้องซ่อม") และทำให้พวกเขามีทัศนคติ "เชิงลบ" ต่อการพยากรณ์โรค และ "ไม่ค่อยเชื่อมั่น" ในการรักษาแบบไม่ผ่าตัด (เช่น กายภาพบำบัด)
ถ้าใช้ "ชื่อโรคกว้างๆ/ไม่เจาะจง" (Non-specific Labels)
(เช่น "อาการปวดหลังแบบไม่จำเพาะเจาะจง", "อาการปวดเข่า", "ภาวะกล้ามเนื้อตึงตัว")
ข้อดี: คนไข้ "กลัวน้อยลง" , มีมุมมอง "เชิงบวก" ต่อการพยากรณ์โรค , และ "เปิดใจ" ต่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัด (Non-invasive management) (เช่น กายภาพบำบัด, การออกกำลังกาย) มากขึ้น
ข้อเสีย: คนไข้จะ "สับสน" (Higher confusion) , หงุดหงิด และรู้สึกว่า "ยังตรวจไม่เสร็จ" ซึ่งทำให้พวกเขาเชื่อว่า "จำเป็นต้องไปตรวจเพิ่ม" (เช่น "หมอต้องส่งฉันไป MRI")
💡 Dr. W's Take: ข้อคิดและการนำไปใช้
1. "คำอธิบาย" ชนะ "ชื่อโรค" (The Explanation is The Key)
นี่คือบทสรุปที่ดีที่สุดจากงานวิจัยนี้ครับ: "วิธีที่เรา 'อธิบาย' คำวินิจฉัย... อาจมีอิทธิพลต่อคนไข้ 'มากกว่า' ตัว 'ชื่อโรค' นั้นเสียอีก"
2. เลือก "Non-Specific" แต่ "อธิบาย" ให้ชัด
ผู้เขียนงานวิจัยแนะนำว่า เราควรพยายามใช้ "ชื่อโรคแบบไม่เจาะจง" (Non-specific labels) ไว้ก่อน เพราะมันมีโอกาส "ก่อให้เกิดอันตราย" (เช่น ความกลัว, Nocebo) น้อยกว่า
แต่ (และนี่คือ "แต่" ที่สำคัญที่สุด)... เราต้อง "ป้องกัน" ข้อเสียของมัน (คือความสับสน) โดยการ "ให้คำอธิบายที่ละเอียดและชัดเจน" (Thorough explanation) ควบคู่ไปด้วยเสมอ
3. ปรับการสื่อสารตาม "คนไข้" (Patient-Centered Care)
งานวิจัยนี้ตอกย้ำว่า "มนุษย์" มีความแตกต่างกัน ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เราต้องพยายาม "ทำความเข้าใจ" คนไข้ที่อยู่ตรงหน้าเราให้ดีที่สุด: อะไรคือความชอบ, ความกังวล, คุณค่า, และเป้าหมายของพวกเขา?
แนวทางของ Dr. W: ชอบที่จะเริ่มแบบ "ไม่เจาะจง" ก่อน โดย "วางกรอบ" ของอาการปวดว่าเป็นปัญหาของ "ความไว" (Sensitivity) ของระบบประสาท ("ระบบสัญญาณเตือนภัยมันดังง่ายไปหน่อย") มากกว่าจะเป็นปัญหาของ "โครงสร้างที่พัง" ("ลำโพงไม่ได้เสีย")
แต่ก็พร้อมที่จะลงไปในรายละเอียดทางกายวิภาค (Pathoanatomy) ทันที "ถ้าจำเป็น"
เพราะอะไร? เพราะอย่างที่งานวิจัยบอก... คนไข้บางคน (Theme 1) "ต้องการ" คำวินิจฉัยที่เฉพาะเจาะจงเพื่อ "ยืนยัน" (Validate) ความเจ็บปวดของเขา
สรุปทางคลินิก: ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ "ชื่อโรค" แบบไหน... สิ่งที่ตามมาต้องเป็น "คำอธิบาย" ที่ตรงไปตรงมา (Academically honest), มองโลกในแง่ดี (Optimistic), และ นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง (Actionable) ครับ
📖 References
➡️ Martin, S., Smith, M., Wilson, D. A., Zadro, J. R., Ferreira, G. E., & O'Keeffe, M. (2025). Non-specific diagnostic labels for musculoskeletal conditions foster positive views about prognosis and non-invasive management but require clear explanation: a systematic review. Journal of Physiotherapy, 71(3), 167-178.
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพ มี 2 สาขา
!!ยินดีให้คำปรึกษา ฟรี!!
📌สาขา เยาวราช
-แผนที่ : https://g.co/kgs/kXSEbT
-โทร : 080 425 9900
-Line : https://lin.ee/6pVt7JG
📌สาขา เพชรเกษม81
-แผนที่ : https://g.co/kgs/MVhq7B
-โทร : 094 654 2460
-Line :https://lin.ee/cl1hNqe










Comments