Dr. W EP. 79 ผล MRI/Ultrasound/X-ray ไม่สวย = ต้องปวด? 🤯 ไขปมภาพถ่าย vs อาการจริง!
- Werachart Jaiaree
- 1 พ.ค.
- ยาว 3 นาที
🧐กลับมาพร้อมประเด็นสำคัญที่หลายคนกังวลใจครับ ต่อเนื่องจาก EP ก่อนๆ วันนี้เราจะมาขยายความเรื่องที่ว่า "ผลภาพถ่ายทางรังสี (MRI/Ultrasound/X-ray) ที่ดู 'ไม่ปกติ' มันสัมพันธ์กับ 'อาการปวด' หรือ 'การใช้งานที่แย่ลง' จริงๆ หรือไม่?"

หลายครั้งที่เห็นผลอ่านว่า "เสื่อม" "ฉีก" "ผิดปกติ" เรามักจะรู้สึกกังวลทันที แต่ความจริงที่งานวิจัยบอกเรานั้น อาจทำให้คุณประหลาดใจครับ!
⭕️ไขความจริง: ภาพถ่ายทางรังสี vs อาการทางคลินิก
1️⃣"ความผิดปกติ" ในภาพ เป็นเรื่อง "ปกติ" ในคนไม่มีอาการ!
🔸ภาพด้านล่างนี้ ได้รวบรวมข้อมูลจากหลายงานวิจัย แสดงให้เห็นชัดเจนว่า "ความผิดปกติ" ที่เจอในภาพถ่าย มัน "ปกติ" แค่ไหนในคน "ไม่มีอาการ" ครับ
🔸กระดูกสันหลัง (Spine): ไม่ใช่แค่ "เสื่อมตามวัย" นะครับ จากงานวิจัยพบว่าในคนอายุ 20-70 ปี ที่ไม่ปวดหลัง พบ "หมอนรองกระดูกปลิ้น" (Disc Bulging) ถึง 87%! (Nakashima 2015) และถ้าดูเฉพาะ "ความเสื่อม" (Degeneration) พบตั้งแต่ 37% ในวัย 20 ปี พุ่งไปจนถึง 96% ในวัย 80 ปี !! (Brinjikji 2015 - Systematic Review)
🔸ข้อไหล่ (Shoulder): ในกลุ่มผู้ชายวัย 40-70 ปี ที่ไม่ปวดไหล่ พบ "เอ็นข้อไหล่ฉีกบางส่วน" (Partial RC Tear) 22%, "ถุงน้ำอักเสบ/หนาตัว" (Bursal Thickening) 78%, และรวมๆ แล้ว พบความผิดปกติอะไรบางอย่างถึง 96% !! (Girish 2011) (ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลเดิมที่ว่าพบ RC tear ได้บ่อยในคนไม่ปวดไหล่ตามอายุที่เพิ่มขึ้นครับ)
🔸ข้อเข่า (Knee): จากการทบทวนงานวิจัย (Culvenor 2018) พบว่าในคนที่ไม่มีอาการเจ็บเข่า และมีอายุมากกว่า 40 ปี มีโอกาสพบ "ข้อเสื่อม" (OA) 19-43%, "กระดูกอ่อนผิวข้อมีปัญหา" (Cartilage Defect) 43%, และ "หมอนรองกระดูกฉีก" (Meniscal Tear) ถึง 19%! (ขณะที่คนอายุน้อยกว่า 40 ปี ก็พบได้ 4-14%)
🔸ข้อสะโพก (Hip): จากการทบทวนงานวิจัย (Frank 2015) ในคนที่ไม่มีอาการปวดสะโพก พบ "ความผิดปกติของรูปทรงกระดูกสะโพก" (CAM/Pincer Deformity) 37-67% และพบ "หมอนรองข้อสะโพกบาดเจ็บ/ฉีก" (Labral Injury) ถึง 68% !!
🔸เท้า/ข้อเท้า (Foot/Ankle): แม้แต่ "ก้อนเนื้องอกเส้นประสาท" (Morton's Neuroma) ก็พบในคนที่ไม่ปวดเท้า ถึง 54% (Symeonidis 2012) หรือ "พยาธิสภาพของเอ็นข้อเท้าด้านนอก" (ATFL pathology) ก็พบได้ 37% ในคนที่ไม่มีอาการบาดเจ็บข้อเท้า (O'Neil 2017)
🔸สรุปประเด็นแรก (ย้ำ!): การพบความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างในภาพถ่าย เป็นเรื่อง ธรรมดามากๆ และ "ไม่ได้" หมายความว่าคุณจะต้องมีอาการปวดเสมอไปครับ!
2️⃣ผ่าตัด "แก้ไข" ภาพ ไม่ได้การันตีว่าจะหายปวด!
🔸หมอนรองเข่า (Meniscus): การทบทวนงานวิจัย (O’Connor et al., 2022) พบว่า การผ่าตัดส่องกล้องรักษาหมอนรองเข่าฉีกจากความเสื่อม ให้ประโยชน์น้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เมื่อเทียบกับการรักษาแบบประคับประคอง (เช่น กายภาพบำบัด) หรือแม้แต่การผ่าตัดหลอก!
🔸ข้อไหล่ (Shoulder): การผ่าตัดลดแรงกดทับใต้ปุ่มกระดูก (Subacromial Decompression) ก็ให้ผล ไม่ต่าง อย่างมีนัยสำคัญกับการทำกายภาพบำบัด (PMID: 33020137, 33244115)
🔸สรุปประเด็นสอง: การ "ซ่อม" สิ่งที่เห็นในภาพ ไม่ได้แปลว่าจะแก้ปัญหา "อาการปวด" ได้เสมอไป และบ่อยครั้งก็ไม่ได้ผลดีไปกว่าการรักษาโดยไม่ผ่าตัดครับ
3️⃣ข้อควรจำเกี่ยวกับภาพถ่าย:
🔸ความสัมพันธ์ ≠ สาเหตุ (Correlation ≠ Causation): แม้บางครั้งสิ่งที่เห็นในภาพอาจ สัมพันธ์ กับอาการ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันเป็น สาเหตุ โดยตรงเสมอไปครับ
🔸อย่าให้น้ำหนักกับภาพมากเกินไป: การยึดติดกับผลภาพถ่ายมากเกินไป อาจนำไปสู่ความกลัว กังวล และการรักษาที่ไม่จำเป็นได้ครับ
✅แล้วทำไมฟื้นฟู/กายภาพบำบัดถึงช่วยลดปวดได้ แม้โครงสร้างไม่เปลี่ยน?
🔸คำตอบอยู่ที่กลไก "Neurophysiological Modulation" หรือ "การปรับจูนระบบประสาท" ครับ!
🔸การฟื้นฟูที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่การ "ซ่อม" เนื้อเยื่อ แต่เป็นการส่งสัญญาณไป "ปรับการทำงาน" ของระบบประสาท ให้:
🔹ลดความไวต่อความปวด (Decreased Pain Perception)
🔹ปรับปรุงการควบคุมการเคลื่อนไหว (Improved Motor Control)
🔹เพิ่มความทนทานต่อ Load (Enhanced Load Tolerance)
🔸เหมือนการ "อัปเดตซอฟต์แวร์" ของร่างกาย ให้ทำงานกับ "ฮาร์ดแวร์" (โครงสร้าง) ที่อาจมีสึกหรอบ้าง ได้อย่างราบรื่นและไม่ส่งสัญญาณปวดออกมาง่ายๆ ครับ!
✅ข้อคิด:
🔸Treat the Person, Not Just the Scan! รักษา "คน" ไม่ใช่แค่รักษา "แผ่นฟิล์ม"! ให้ความสำคัญกับอาการทางคลินิกและความสามารถในการใช้งานเป็นหลัก
🔸โครงสร้างไม่สมบูรณ์ ≠ ชีวิตต้องติดขัด: ร่างกายปรับตัวได้ดี เราไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้าง "สมบูรณ์แบบ" เพื่อที่จะไม่ปวดและใช้งานได้ดี
🔸Right Intervention, Right Time, Right Individual: สิ่งสำคัญคือการรักษาที่ "เหมาะสมกับบุคคลนั้นๆ ในช่วงเวลานั้นๆ"
❤️ เคสตัวอย่างจากคลินิก
คนไข้ อายุ 50 ปี มาด้วยอาการปวดหลังเรื้อรัง ได้ผล MRI ว่า "หมอนรองกระดูกเสื่อม L4-5 และ L5-S1" คนไข้ค่อนข้างกังวลมาก กลัวว่าหลังจะพัง กลัวต้องผ่าตัด ไม่กล้าก้ม ไม่กล้าออกกำลังกาย
เมื่อมาที่คลินิกฯ ได้มีการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินเพิ่มเติมด้วย NeuroKinetic Therapy และ NeuroMuscular Integration พบว่า นอกจากความกังวลแล้ว คนไข้มีรูปแบบที่ กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง (Erector Spinae) ทำงานมากเกินไป (Facilitated) ขณะที่ กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวชั้นลึก (Transversus Abdominis - TrA) ทำงานได้ไม่เต็มที่ (Inhibited) ทำให้ขาดความมั่นคงของกระดูกสันหลังส่วนเอวได้ ซึ่งความสัมพันธ์นี้จัดอยู่ในกลุ่ม Intrinsic Stabilization Subsystem (ISS)

❤️แผนการรักษาจึงเป็นการผสมผสาน:
✅Pain Education & Reassurance: อธิบายเรื่องความไม่สอดคล้องกันระหว่าง MRI กับอาการปวด ลดความกลัว สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
✅Manual Therapy and Corrective Exercise (NKT/NMI):
🔹ใช้เทคนิคคลายกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างที่ตึงตัว
🔹กระตุ้น (Activate) กล้ามเนื้อ TrA ที่ Inhibited เช่น การฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อท้องชั้นลึก, การฝึกเกร็ง TrA ในท่าต่างๆ
✅Graded Exercise & Activity: ค่อยๆ เริ่มการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกายที่ไม่กระตุ้นอาการปวดรุนแรง เน้นการควบคุมกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Motor Control) และค่อยๆ เพิ่มความทนทาน (Load Tolerance) เช่น เริ่มจากท่าง่ายๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความท้าทาย
❤️ผลลัพธ์หลังการรักษาต่อเนื่อง:
✅อาการปวดหลังลดลงมาก กลับไปทำงานและใช้ชีวิตประจำวันได้เกือบปกติ
✅คนไข้มีความมั่นใจในการเคลื่อนไหวมากขึ้น กล้าก้ม กล้าออกกำลังกายเบาๆ
✅แม้ไม่ได้ทำ MRI ซ้ำ แต่เชื่อว่าภาพความเสื่อมอาจจะยังคงเดิม!
❤️ข้อสังเกต: การฟื้นฟูที่ดีของคนไข้เกิดจากการลดความกลัว, ปรับแก้การทำงานของกล้ามเนื้อที่เสียสมดุล (NKT/NMI), และ "ปรับจูนระบบประสาท" ให้ลดความไวต่อความปวดและเพิ่มความทนทานต่อกิจกรรมต่างๆ ซึ่งสำคัญกว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่เห็นใน MRI ครับ!
❤️คำแนะนำ: หากคุณได้รับผลตรวจ MRI หรือภาพถ่ายอื่นๆ ที่บ่งชี้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง อย่าเพิ่งตื่นตระหนกหรือด่วนสรุปครับ ควรนำผลนั้นปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด เพื่อประเมินอาการทางคลินิกประกอบกัน และวางแผนการดูแลรักษาที่มุ่งเน้นไปที่ "ตัวคุณ" และ "การใช้งานร่างกายของคุณ" ไม่ใช่แค่ภาพบนแผ่นฟิล์ม
ปล. ยังมี 'ความเชื่อผิดๆ' อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับความปวด การออกกำลังกาย ท่าทาง ที่น่าสนใจ ไว้ Dr. W จะมาเล่าให้ฟังใน EP ต่อๆ ไปนะครับ!
มีใครอ่านจบบ้าง กด1 ครั้งหน้าจะได้เขียนยาวๆอีก
❤️References:
Horga, L. M., et al. (2020). Skeletal Radiology, 49(7), 1099-1107.
Barreto, R. P. G., et al. (2019). J Shoulder Elbow Surg, 28(9), 1699-1706.
O'Connor, D. A., et al. (2022). JAMA, 328(9), 861-869.
Brinjikji, W., et al. (2015). AJNR Am J Neuroradiol, 36(4), 811-816. (PMID: 25430861)
Girish, G., et al. (2011). Am J Roent, 197(6), W1021-W1026.
Culvenor, A. G., et al. (2019). Br J Sports Med, 53(11), 689-697.
Frank, J. M., et al. (2015). Arthroscopy, 31(11), 2192-2201.
Symeonidis, P. D., et al. (2012). Foot Ankle Int, 33(, 627-632.
O'Neil, J., et al. (2017). Foot Ankle Orthop, 2(2)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพ มี 2 สาขา
!!ยินดีให้คำปรึกษา ฟรี!!
📌สาขา เยาวราช
-แผนที่ : https://g.co/kgs/kXSEbT
-โทร : 080 425 9900
-Line : https://lin.ee/6pVt7JG
📌สาขา เพชรเกษม81
-แผนที่ : https://g.co/kgs/MVhq7B
-โทร : 094 654 2460
-Line : https://lin.ee/cl1hNqe
Commentaires