😊 Dr. W EP. 203: "เจ็บสะโพกจากภาวะ FAI... งอได้เยอะขึ้น = ดีขึ้นเสมอไป? 🤔 งานวิจัย หา 'ตัวเลขที่พอดี'!"
- Werachart Jaiaree
- 9 ก.ย.
- ยาว 3 นาที
สวัสดีครับ! Dr. W กลับมาอีกครั้งครับ!
ภาวะกระดูกสะโพกหนีบกัน (Femoroacetabular Impingement - FAI) เป็นภาวะที่วินิจฉัยได้ค่อนข้างซับซ้อนครับ โดยทั่วไปแล้วการวินิจฉัยจะอาศัยกลุ่มของอาการแสดงหลายๆ อย่างร่วมกัน ได้แก่ การมีรูปร่างของกระดูกสะโพกที่ผิดปกติ (Cam หรือ Pincer morphology) จากภาพถ่ายรังสี, อาการปวดสะโพกหรือขาหนีบ, และผลการตรวจร่างกายที่ให้ผลบวก โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมาด้วยอาการปวดและมีข้อจำกัดในการงอสะโพก (Hip flexion) และการหมุนสะโพกเข้าใน (Internal rotation)

ที่ผ่านมา เรามักจะตั้งเป้าหมายในการทำกายภาพบำบัดเพื่อ "เพิ่มองศาการเคลื่อนไหว (Range of Motion - ROM)" ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเชื่อว่ายิ่งขยับได้เยอะ อาการก็น่าจะยิ่งดีขึ้น แต่... มันเป็นแบบนั้นจริงหรือ?
🔬 เจาะลึกงานวิจัย - มากกว่า... ไม่ได้ดีกว่าเสมอไป? (Gomes et al., 2025)
ล่าสุด มีงานวิจัยที่น่าสนใจมากโดย Gomes และคณะ (2025) ที่ได้ทำการศึกษาเพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่าง "ระดับองศาการเคลื่อนไหวของสะโพก" กับ "ความรุนแรงของอาการ" ในผู้ป่วย FAI โดยตรงเลยครับ
➡️ Aim (เขาอยากรู้อะไร?):
เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรงของอาการกับองศาการเคลื่อนไหวของสะโพก (งอ, หมุนเข้า, หมุนออก)
และเพื่อดูว่าค่า ROM สามารถใช้จำแนกกลุ่มผู้ป่วย FAI ที่มีระดับความรุนแรงของอาการที่แตกต่างกันได้หรือไม่
➡️ Methodology (เขาทำยังไง?):
เป็นการศึกษาแบบ Cross-sectional โดยใช้ข้อมูลจากผู้ป่วย FAI จำนวน 150 คน
ทำการวัดองศาการเคลื่อนไหวของสะโพกด้วยเครื่องวัดมุมแบบดิจิทัล และประเมินความรุนแรงของอาการด้วยแบบสอบถามมาตรฐาน (iHOT-Symptoms)
📊 ผลลัพธ์... ตัวเลข 107° ที่น่าสนใจ! (The Results! The Magic Number 107°)
ผลการศึกษาให้ข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ทางคลินิกอย่างมากครับ:
➡️ องศาการงอสะโพก (Hip Flexion ROM) คือตัวแปรสำคัญที่สุด!
งานวิจัยนี้พบว่า
องศาการงอสะโพกมีความสามารถในการจำแนกกลุ่มผู้ป่วยที่มีระดับความรุนแรงของอาการที่แตกต่างกันได้ดี
⭐
ตัวเลขที่น่าสนใจคือ 107 องศา! นี่คือค่า Cut-off ที่ดีที่สุดที่งานวิจัยนี้ค้นพบ
ผู้ป่วยที่มีองศาการงอสะโพก
มากกว่าหรือเท่ากับ 107 องศา (≥107°) มีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรง ลดลงถึง 15 เท่า!
ความน่าจะเป็นที่จะมีอาการรุนแรง
ลดลงถึง 36% เมื่อองศาการงอสะโพกมากกว่าหรือเท่ากับ 107 องศา
➡️ แล้วถ้าองศาเยอะกว่านี้ล่ะ? (What about MORE ROM?)
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ... เมื่อองศาการงอสะโพก
เกิน 120 องศาขึ้นไป กลับไม่พบว่ามันช่วยลดความรุนแรงของอาการได้เพิ่มเติมอีก
ผู้วิจัยตั้งสมมติฐานว่าอาจจะเป็นเพราะองศาการงอสะโพกประมาณ 95-121 องศา ก็
"เพียงพอ (Enough)" แล้วสำหรับการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ (เช่น การใส่ถุงเท้า-รองเท้า, การนั่ง, การลุกจากรถ) การมีองศาที่มากไปกว่านี้จึงอาจจะไม่ได้ให้ประโยชน์เพิ่มเติมในแง่ของการลดอาการปวด
➡️ แล้วการหมุนสะโพกล่ะ? (What about Hip Rotation?)
การหมุนเข้าใน (Internal Rotation): พบความสัมพันธ์กับอาการเพียงเล็กน้อยมากๆ (อธิบายความแปรปรวนของอาการได้แค่ 3%) และมีประโยชน์ทางคลินิกที่น่าสงสัย
การหมุนออก (External Rotation): ไม่พบความสัมพันธ์กับอาการเลย
💡 Dr. W's Take: ข้อคิดจาก Dr. W และการนำไปใช้ทางคลินิก
➡️
เป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น: งานวิจัยนี้ให้ "ตัวเลขที่เป็นรูปธรรม" กับเราครับ สำหรับผู้ป่วย FAI การตั้งเป้าหมายในการฟื้นฟูให้ได้องศาการงอสะโพกที่ อย่างน้อย 107 องศา ดูจะเป็นเป้าหมายที่มีความหมายและอาจจะสัมพันธ์กับการมีอาการที่ดีขึ้นได้
➡️ "เพียงพอ" ดีกว่า "มากที่สุด": เราอาจจะต้องเปลี่ยนมุมมองจากการพยายาม "เพิ่ม ROM ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้" ไปสู่การ "ฟื้นฟู ROM ให้ได้ในระดับที่ 'เพียงพอ' ต่อการใช้งานและลดอาการ" การฝืนยืดหรือขยับข้อต่อเพื่อให้ได้องศาที่มากเกินความจำเป็น อาจจะไม่ให้ประโยชน์เพิ่มเติมและอาจจะไปสร้างการระคายเคืองที่ไม่จำเป็นก็ได้
➡️ 107° ไม่ใช่เลขมหัศจรรย์: ต้องเข้าใจว่าตัวเลขนี้เป็นผลลัพธ์ทางสถิติจากกลุ่มตัวอย่าง ไม่ได้หมายความว่าคนที่มี 105 องศาจะปวดมาก แล้วพอเพิ่มได้เป็น 107 องศาจะหายปวดทันที แต่มันให้ "แนวทาง" ที่ดีในการตั้งเป้าหมายครับ
➡️ องศาการงอสะโพกสำคัญกว่าการหมุน: ในการฟื้นฟู FAI การให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูการงอสะโพกที่ปราศจากความเจ็บปวด ดูเหมือนจะเป็นกุญแจที่สำคัญกว่าการพยายามเพิ่มองศาการหมุนเพียงอย่างเดียว
➡️ มองภาพรวมเสมอ: อย่าลืมว่าความเจ็บปวดเป็นเรื่องที่ซับซ้อน องศาการเคลื่อนไหวเป็นเพียง "ส่วนหนึ่ง" ของจิ๊กซอว์ทั้งหมด เรายังคงต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ทั้งความแข็งแรง, การควบคุมการเคลื่อนไหว, และปัจจัยทางชีวจิตสังคม (Biopsychosocial factors) ของผู้ป่วยแต่ละรายเสมอครับ
✨ เคสตัวอย่างจากคลินิก: เจ็บสะโพกจาก FAI... เมื่อเป้าหมายไม่ใช่ "งอให้สุด" แต่คือ "งอให้พอดี"
คุณกร อายุ 32 ปี เป็นผู้ที่ชื่นชอบการเล่นฟิตเนสและโยคะ มาที่ คลินิกด้วยปัญหา ปวดลึกๆ ที่ขาหนีบข้างขวา มานานหลายเดือน
การประเมิน (Assessment):
➡️ Subjective (อาการและการรับรู้ของผู้ป่วย):
คุณกรเล่าว่า: "ผมจะปวดจี๊ดๆ ลึกๆ ในขาหนีบขวาครับ โดยเฉพาะเวลาทำท่าโยคะที่ต้องงอสะโพกลึกๆ หรือตอนทำท่า Leg Press ที่ยิม รู้สึกเหมือนมีอะไรไป 'ขัด' อยู่ข้างใน พยายามจะยืดหรือขยับให้สุดๆ ก็ยิ่งเจ็บ"
เป้าหมายและความเชื่อ: "ผมอยากจะกลับไปงอสะโพกได้สุดๆ เหมือนเดิมครับ ผมเชื่อว่าถ้าผมยืดหยุ่นมากขึ้น อาการน่าจะดีขึ้น"
➡️ Objective (การตรวจร่างกาย):
FADIR Test (Flexion, Adduction, Internal Rotation): ให้ผลบวก (Positive) อย่างชัดเจน สามารถกระตุ้นอาการปวดลึกๆ ที่ขาหนีบที่คุ้นเคยได้
Hip Flexion ROM: เมื่อวัดองศาการงอสะโพกแบบ Passive พบว่าทำได้ประมาณ 95 องศา ก่อนที่จะเริ่มมีอาการปวดขัดและไปต่อไม่ได้
➡️ NKT/NMI Assessment (Neuromuscular Integration/Neurokinetic Therapy):
พบการทำงานที่ถูกยับยั้ง (Inhibited) ของกล้ามเนื้อก้นมัดลึก (Deep Hip Rotators) และกล้ามเนื้อ Gluteus Maximus
ในขณะที่กล้ามเนื้องอสะโพก (Iliopsoas, TFL) และกล้ามเนื้อต้นขาด้านใน (Adductors) ทำงานหนักและตึงตัวมากเกินไป (Facilitated) ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบบ่อยในผู้ป่วย FAI ที่ร่างกายพยายามจะ "ดึง" หรือ "ล็อค" ข้อสะโพกไว้เพื่อป้องกันความเจ็บปวด
แผนการรักษา (Intervention Plan - ที่ปรับเปลี่ยนมุมมองและเป้าหมายใหม่):
🧠 1. Pain Science Education (PSE)
รับฟังและทำความเข้าใจเป้าหมายเดิม: "ผมเข้าใจเลยครับว่าคุณกรอยากจะกลับไปงอสะโพกได้สุดๆ เหมือนเดิม ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ดีครับ"
นำเสนอข้อมูลใหม่ (จาก EP 203 - Gomes et al., 2025):
"แต่ผมมีข้อมูลที่น่าสนใจจากงานวิจัยมาเล่าให้ฟังครับ เขาไปศึกษาในคนที่มีภาวะ FAI แบบคุณกรเลย แล้วพบว่าจริงๆ แล้วเราอาจจะ ไม่จำเป็นต้องงอสะโพกให้ได้ 'สุด' ก็ได้ครับ"
แนะนำ "ตัวเลขที่พอดี": "งานวิจัยเขาเจอว่า ถ้าเราสามารถฟื้นฟูให้งอสะโพกได้ถึงประมาณ 107 องศา โดยไม่เจ็บ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้อาการโดยรวมดีขึ้นได้อย่างมากแล้ว และการที่งอได้เยอะไปกว่านี้ (เช่น 120 องศาขึ้นไป) ก็ไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้นไปกว่าเดิมครับ"
ปรับเปลี่ยนเป้าหมายร่วมกัน (Reframing the Goal):
"ดังนั้น เป้าหมายใหม่ของเราอาจจะไม่ใช่การ 'ฝืน' ยืดเพื่อให้ได้องศามากที่สุด แต่คือการ 'ฟื้นฟู' ให้เราสามารถงอสะโพกได้อย่างมีคุณภาพและไม่เจ็บปวดจนถึง 107 องศา ซึ่งเป็นองศาที่ 'เพียงพอ' สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและโยคะส่วนใหญ่แล้วครับ"
การให้ข้อมูลนี้ช่วย ลดแรงกดดัน ของคุณกรที่พยายามจะฝืนยืดจนเจ็บ และทำให้เขามี เป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและทำได้จริง
📈 2. Load Management:
แนะนำให้ปรับเปลี่ยนท่าโยคะหรือท่าออกกำลังกายที่ต้องงอสะโพกลึกมากๆ ชั่วคราว โดยให้ทำใน "ช่วงการเคลื่อนไหวที่ไม่เจ็บ (Pain-free ROM)" ก่อน
⚙️ 3. NKT/NMI Corrective Strategy:
Release (คลาย): ใช้เทคนิคและสอนวิธี Self-release ให้กับกล้ามเนื้อ Iliopsoas, TFL, และ Adductors ที่ทำงานหนักเกินไป
Activate (กระตุ้น): กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ Gluteus Maximus และ Deep Hip Rotators ที่ "หลับ" อยู่ เพื่อให้กลับมาช่วยสร้างความมั่นคงและควบคุมการเคลื่อนไหวของข้อสะโพก
💪 4. Targeted Exercise & Mobility Program (โปรแกรมที่มุ่งสู่ 107°):
Hip Mobilization: ใชเทคนิคการขยับข้อต่อ (Manual joint mobilization) โดยนักกายภาพบำบัด เพื่อช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของหัวกระดูกต้นขาภายในเบ้าสะโพก และลดอาการขัด
Mobility Drills: ให้ท่าออกกำลังกายเพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวแบบ Active เช่น ท่า Quadruped rock-backs, Hip CARs (Controlled Articular Rotations) โดยเน้นการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและควบคุมได้ดี
Strengthening in the New Range: เมื่อองศาการงอสะโพกค่อยๆ เพิ่มขึ้น ก็จะเริ่มให้การออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงในองศาใหม่นั้นๆ เพื่อสร้างการควบคุมและความมั่นคง
ผลลัพธ์ (Outcome):
หลังจากทำกายภาพบำบัดไป 5 สัปดาห์ องศาการงอสะโพกของคุณนนท์ เพิ่มขึ้นจาก 95 องศา เป็นประมาณ 110 องศา โดยไม่มีอาการปวดขัด
อาการปวดขาหนีบเวลาทำท่าโยคะหรือ Leg Press ลดลงอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือทัศนคติ: คุณกรเลิกหมกมุ่นกับการที่จะต้อง "งอให้สุด" และหันมาให้ความสำคัญกับ "การเคลื่อนไหวที่มีคุณภาพ" ในช่วงที่ร่างกายของเขาสามารถทำได้โดยไม่เจ็บปวด
เขาสามารถกลับไปเล่นฟิตเนสและฝึกโยคะที่เขารักได้อีกครั้ง โดยมีความเข้าใจและรู้จัก "ขอบเขตที่พอดี" ของร่างกายตัวเองมากขึ้น
ข้อสังเกต: เคสนี้แสดงให้เห็นว่าการนำความรู้จากงานวิจัยมาใช้ตั้ง "เป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและมีความหมายทางคลินิก" (เช่น 107 องศา) สามารถช่วยให้การฟื้นฟูมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น และช่วยลดความกดดันที่ไม่จำเป็นของผู้ป่วยได้ การฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพไม่ได้หมายถึงการทำให้ร่างกายกลับไป "สมบูรณ์แบบ" เหมือนในตำราเสมอไป แต่คือการทำให้ร่างกายสามารถ "ทำงาน (Function)" ได้อย่างมีความสุขและปราศจากความเจ็บปวดครับ!
📖 References :
➡️ Gomes, D. A., Heerey, J., Scholes, M., et al. (2025). More is not always better-association between hip range of motion and symptom severity in patients with femoroacetabular impingement syndrome: A cross-sectional study. Brazilian Journal of Physical Therapy, 29(2), 101189.
➡️ Griffin, D. R., et al. (2016). The Warwick Agreement on femoroacetabular impingement syndrome (FAI syndrome): an international consensus statement. British Journal of Sports Medicine, 50(19), 1169-1176.
➡️ Reiman, M. P., et al. (2014). The diagnostic accuracy of clinical tests for femoroacetabular impingement/hip labral tear: a systematic review with meta-analysis. British Journal of Sports Medicine, 48(11), 896-902.
➡️ Casartelli, N. C., et al. (2016). The pathomechanical triad of FAI: is there a link between bony impingement, hip muscle function and hip pain? British Journal of Sports Medicine, 50(17), 1039-1045.
➡️ Frank, J. M., et al. (2015). The role of athletes' hip range of motion in developing femoroacetabular impingement: a prospective cohort study. The American Journal of Sports Medicine, 43(7), 1647-1654.
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพ มี 2 สาขา
!!ยินดีให้คำปรึกษา ฟรี!!
📌สาขา เยาวราช
-แผนที่ : https://g.co/kgs/kXSEbT
-โทร : 080 425 9900
-Line : https://lin.ee/6pVt7JG
📌สาขา เพชรเกษม81
-แผนที่ : https://g.co/kgs/MVhq7B
-โทร : 094 654 2460
-Line :https://lin.ee/cl1hNqe










ความคิดเห็น