😊 Dr. W EP. 185: "อ้วนแล้วปวดหลัง... ไม่ใช่แค่เพราะ 'แบกน้ำหนัก'! 🍔 เจาะลึกวงจรอุบาทว์ที่ซ่อนอยู่ในไขมัน"
- Werachart Jaiaree
- Oct 30
- 4 min read
สวัสดีครับ! Dr. W กลับมาอีกครั้งครับ! ภาวะอ้วนและอาการปวดหลังส่วนล่างเป็นสองปัญหาใหญ่ด้านสุขภาพที่สร้างภาระให้กับผู้คนทั่วโลกอย่างมหาศาล เรามักจะได้ยินความเชื่อมโยงระหว่างสองภาวะนี้อยู่เสมอ โดยมีความเข้าใจพื้นฐานว่า "ก็คนอ้วน น้ำหนักตัวเยอะ หลังก็ต้องรับภาระหนักขึ้นเป็นธรรมดา" ซึ่ง... ก็เป็นความจริงครับ แต่มันเป็นเพียง "ส่วนหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมด" เท่านั้น

งานวิจัยในปัจจุบันได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบ "สองทิศทาง (Bidirectional link)" ที่น่ากลัว คือภาวะอ้วนไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดหลัง แต่ยังทำให้อาการปวดนั้นกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้ง่ายขึ้น ผ่านวงจรของ การอักเสบ, การไม่เคลื่อนไหว, และความเสื่อมของกระดูกสันหลัง
วันนี้เราจะมาเจาะลึกงานวิจัย Review ใหม่ล่าสุดโดย Ruiz-Fernandez, Schol, และคณะ (2025) ที่ได้สังเคราะห์หลักฐานและชี้ให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ "แรงกดเชิงกล" เพียงอย่างเดียว แต่ "ความผิดปกติของการเผาผลาญ (Metabolic dysregulation)", "การอักเสบเรื้อรังระดับต่ำ", และ "สารเคมีที่หลั่งจากเซลล์ไขมัน" คือผู้ร้ายตัวจริงที่คอยทำลายกระดูกสันหลังของเราจากภายในครับ
🔄 วงจรอุบาทว์: ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำหนัก (The Vicious Cycle)
วงจรนี้เริ่มต้นจาก ภาวะอ้วน ➡️ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงและทำให้อาการ ปวดหลัง รุนแรงขึ้น ➡️ เมื่อมีอาการปวด ก็จะทำให้ ไม่อยากขยับตัวหรือออกกำลังกาย (Inactivity) ➡️ การไม่เคลื่อนไหวนี้เองที่ยิ่งทำให้ ภาวะอ้วนแย่ลง และทำให้กล้ามเนื้อที่พยุงหลังอ่อนแอลง วนกลับไปทำให้อาการปวดหลังรุนแรงขึ้น เป็นวงจรที่ไม่สิ้นสุด
ที่สำคัญคือ เราต้องเข้าใจว่า เนื้อเยื่อไขมันสีขาว (White adipose tissue) ไม่ใช่แค่ "ก้อนไขมัน" ที่เก็บพลังงานเฉยๆ แต่มันคือ "อวัยวะที่สร้างฮอร์โมน (Endocrine organ)" ที่สามารถผลิตและหลั่งสารเคมีที่กระตุ้นการอักเสบ (เรียกว่า ไซโตไคน์ - Cytokines และ อะดิโปไคน์ - Adipokines) เช่น TNF-α, IL-6, Leptin, Resistin ออกมาสู่กระแสเลือด และสารเหล่านี้ก็สามารถเดินทางไปสร้างผลกระทบโดยตรงต่อเนื้อเยื่อของกระดูกสันหลังได้
💥 ภาวะอ้วนโจมตีกระดูกสันหลังได้อย่างไร? 2 แนวรบหลัก (How Obesity Attacks the Spine)
➡️ 1. แนวรบเชิงกล (The Biomechanical Front):
เพิ่มแรงกดและแรงเฉือน (Increased Loads): น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นทุกๆ กิโลกรัม จะเพิ่มแรงกดอัด (Compressive loads) และแรงเฉือน (Shear loads) มหาศาลต่อหมอนรองกระดูกและข้อต่อฟาเซท โดยเฉพาะในระดับ L4-L5 และ L5-S1
ท่าทางและการเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนไป (Altered Posture & Mobility): ภาวะอ้วนทำให้แนวกระดูกสันหลังเปลี่ยนแปลงไป (เช่น หลังแอ่นมากขึ้น), จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายเปลี่ยน, และทำให้การเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลังลดลง
เร่งความเสื่อม (Accelerated Degeneration): ภาระเชิงกลที่มากเกินไปนี้ จะเร่งให้เกิดความเสื่อมของโครงสร้างต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงที่ขอบกระดูก (Modic changes) และการปลิ้นของหมอนรองกระดูก
➡️ 2. แนวรบเชิงชีวเคมี (The Biochemical Front) - นี่คือส่วนที่น่ากลัวและถูกมองข้าม!
การอักเสบเรื้อรังระดับต่ำและความผิดปกติของการเผาผลาญที่เกิดจากภาวะอ้วน จะส่งเสริมกระบวนการ "สลาย" ในกระดูกสันหลังผ่านกลไกต่างๆ มากมาย:
การอักเสบทั่วร่างกาย (Systemic Inflammation): ร่างกายของผู้ที่มีภาวะอ้วนจะอยู่ในสภาวะที่พร้อมจะอักเสบอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการอักเสบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่เซลล์ไขมัน แต่ส่งผลกระทบไปทั่วร่างกาย รวมถึงกระดูกสันหลังด้วย
ไขมันในเลือดผิดปกติ (Lipid Dysregulation): ระดับกรดไขมันอิสระ (Free fatty acids) ที่สูงในเลือด สามารถเป็น "พิษ" ต่อเซลล์หมอนรองกระดูกโดยตรง ทำให้เซลล์ตายเร็วขึ้น
สารเร่งความแก่ (AGEs - Advanced Glycation End-products): ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ที่มักพบในคนอ้วน จะทำให้เกิดการสะสมของสาร AGEs ในโครงสร้างของหมอนรองกระดูก สารนี้จะทำให้หมอนรองกระดูก "แข็งและเปราะ" เหมือนพลาสติกเก่าๆ และกระตุ้นให้เกิดวงจรความเสื่อม
ความไม่สมดุลของฮอร์โมนจากไขมัน (Adipokine Imbalance):
ตัวร้าย (Pro-inflammatory) ถูกสร้างเพิ่มขึ้น: เช่น Leptin, Resistin, และ Lipocalin-2 (LCN2) ซึ่งสารเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและความเสื่อมในหมอนรองกระดูก
พระเอก (Anti-inflammatory) ถูกสร้างลดลง: เช่น Adiponectin และ Omentin-1 ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ดี กลับมีระดับลดลง
การอักเสบในระบบประสาท (Neuroinflammation): สารอย่าง Leptin และ LCN2 ไม่ได้ทำลายแค่โครงสร้าง แต่ยังสามารถไป กระตุ้นให้ "เส้นประสาทรับความเจ็บปวด" ไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น และอาจนำไปสู่ภาวะ Central Sensitization (ภาวะที่สมองและไขสันหลังไวต่อความเจ็บปวดมากผิดปกติ) ได้อีกด้วย!
ความผิดปกติของจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut Microbiome Dysbiosis): ก็สามารถส่งเสริมให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกายได้เช่นกัน
ภาวะขาดออกซิเจน (Hypoxia) และการสร้างหลอดเลือดที่ผิดปกติ: เนื้อเยื่อไขมันที่มากเกินไปสามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่ๆ ที่ผิดปกติเข้าไปในหมอนรองกระดูกและโครงสร้างอื่นๆ ซึ่งมักจะนำเส้นประสาทรับความเจ็บปวดเข้าไปด้วย ทำให้เกิดอาการปวดได้ง่ายขึ้น
📉 ความเสียหายรอบด้าน: โครงสร้างหลังที่ถูกโจมตี (The Collateral Damage)
ผลกระทบจากทั้งสองแนวรบนี้ ทำให้โครงสร้างต่างๆ ของกระดูกสันหลังเสื่อมสภาพเร็วขึ้น:
หมอนรองกระดูก (Intervertebral Discs): สูญเสียน้ำ, เสื่อมสภาพ, เซลล์ตาย, และเกิดการอักเสบ
แผ่นกระดูกอ่อนปิดท้าย (Cartilaginous Endplates): การส่งผ่านสารอาหารไปยังหมอนรองกระดูกทำได้แย่ลง
ข้อต่อฟาเซท (Facet Joints): เกิดข้อต่อเสื่อมเร็วขึ้น
กล้ามเนื้อข้างกระดูกสันหลัง (Paraspinal Muscles): เกิดภาวะ Sarcopenic obesity คือมวลกล้ามเนื้อลดลงแต่มี ไขมันเข้าไปแทรก (Fatty infiltration) ทำให้กล้ามเนื้อที่ควรจะสร้างความมั่นคงกลับอ่อนแอลง และทำให้หลังไม่มั่นคง
ไขมันในช่องไขสันหลัง (Epidural Fat): การสะสมของไขมันในช่องไขสันหลังที่มากเกินไป (Epidural lipomatosis) อาจทำให้เกิดภาวะช่องไขสันหลังตีบแคบ (Spinal stenosis) ได้
🎯 แล้วจะจัดการอย่างไร? แนวทางการรักษา (Therapeutic Strategies)
➡️ การลดน้ำหนัก (Weight Reduction): เป็นหัวใจสำคัญ เพราะช่วยลดภาระทั้งในเชิงกลและเชิงชีวเคมี
การผ่าตัดกระเพาะ (Bariatric surgery): ให้ผลลัพธ์ที่ดีและสม่ำเสมอในการลด BMI, ลดความเจ็บปวด, และลดระดับความพิการ
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ (Lifestyle interventions): เช่น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย ให้ผลที่ไม่สม่ำเสมอเท่า เพราะมีความท้าทายเรื่องความต่อเนื่องในการปฏิบัติ
➡️ แนวทางด้านยา (Pharmacological Approaches):
ยากลุ่ม GLP-1 receptor agonists (เช่น Semaglutide หรือที่รู้จักกันในชื่อ Ozempic/Wegovy) กำลังเป็นที่น่าจับตามอง เพราะมีประสิทธิภาพสูงในการลดน้ำหนักและยังช่วยลดการอักเสบได้ด้วย แต่ยังต้องรอการศึกษาที่จำเพาะต่ออาการปวดหลังต่อไป
➡️ แนวทางในอนาคต (Future Directions):
การพัฒนายาที่สามารถพุ่งเป้าไปที่การ "ปรับสมดุล" ของ Adipokines โดยตรง เช่น การยับยั้ง Leptin หรือการเสริมการทำงานของ Adiponectin
💡 Dr. W's Take: ข้อคิดจาก Dr. W
➡️ "ไปลดน้ำหนักสิ" เป็นคำแนะนำที่ง่ายเกินไป: การบอกให้คนไข้แค่ไปลดน้ำหนักโดยไม่มีความเข้าใจในกลไกที่ซับซ้อนเหล่านี้ อาจจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เราต้องเข้าใจ "เหตุผล" ที่ลึกซึ้งกว่านั้น
➡️ ความเชื่อมโยงทางชีวเคมีคือ Game-Changer: มันช่วยอธิบายได้ว่าทำไมผู้ป่วยบางคนที่มีภาวะอ้วนถึงมีอาการปวดหลังที่รุนแรงเกินกว่าที่น้ำหนักตัวจะอธิบายได้เพียงอย่างเดียว อาการปวดของพวกเขาไม่ได้มาจากแรงกดเชิงกลเท่านั้น แต่ยังถูก "เติมเชื้อไฟ" จากการอักเสบเรื้อรังทั่วร่างกายอีกด้วย
➡️ ตอกย้ำความสำคัญของการดูแลแบบสหสาขาวิชาชีพ (Multidisciplinary Approach): การดูแลผู้ป่วยปวดหลังเรื้อรังที่มีภาวะอ้วนร่วมด้วยให้ได้ผลดีที่สุด ควรจะอาศัยความร่วมมือจากทีมผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา ทั้งแพทย์, นักโภชนาการ, นักจิตวิทยา, และนักกายภาพบำบัด
➡️ สำหรับนักกายภาพบำบัด: ความเข้าใจนี้ทำให้เรารู้ว่าโปรแกรมการออกกำลังกายที่เราออกแบบ ไม่ได้มีประโยชน์แค่การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่มันยังเป็น "ยาต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory intervention)" ที่ทรงพลัง ที่ช่วยต่อสู้กับผลกระทบเชิงเมตาบอลิซึมของภาวะอ้วนได้อีกด้วย เป้าหมายของเราคือการช่วยผู้ป่วย "ทำลายวงจรอุบาทว์" นี้ให้ได้ครับ
✨ เคสตัวอย่างจากคลินิก: เมื่ออาการปวดหลังของคุณสมชาย... ไม่ได้มาจากแค่การ "แบกน้ำหนัก"
คุณสมศักดิ์ อายุ 55 ปี เป็นผู้จัดการสำนักงาน มีอาการ ปวดหลังส่วนล่างแบบตื้อๆ หน่วงๆ เรื้อรัง (Chronic Low Back Pain - CLBP) มานานกว่า 5 ปี อาการปวดไม่ได้รุนแรงมากจนทนไม่ไหว แต่เป็นอยู่แทบจะตลอดเวลา ทำให้รู้สึกรำคาญใจและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก
การประเมิน (Assessment):
➡️ Subjective (อาการและการรับรู้ของผู้ป่วย):
คุณสมศักดิ์เล่าว่า: "ผมปวดหลังแบบนี้มาหลายปีแล้วครับ มันจะปวดหน่วงๆ โดยเฉพาะเวลานั่งทำงานนานๆ หรือตอนเช้าจะรู้สึกหลังแข็งมาก เคยไปนวด ไปกินยาแก้ปวด ก็ดีขึ้นแป๊บเดียวเดี๋ยวก็เป็นอีก ผมรู้แหละว่าส่วนหนึ่งคงเพราะผมอ้วนขึ้นเยอะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (น้ำหนักขึ้นมาประมาณ 15 กิโลกรัม) หลังมันคงรับน้ำหนักไม่ไหว... ผมพยายามจะไปออกกำลังกายนะ แต่มันปวดจนไม่อยากจะขยับเลย รู้สึกท้อใจมากครับ"
ความเชื่อและวงจรที่เกิดขึ้น: คุณสมศักดิ์เชื่อว่าอาการปวดมาจาก "การแบกน้ำหนัก" เพียงอย่างเดียว และติดอยู่ใน "วงจรอุบาทว์" ที่ชัดเจน คือ อ้วน ➡️ ปวดหลัง ➡️ ไม่กล้าขยับ/ออกกำลังกาย ➡️ ยิ่งอ้วนขึ้นและร่างกายอ่อนแอลง ➡️ ยิ่งปวดหลังมากขึ้น
➡️ Objective (การตรวจร่างกาย):
มีลักษณะอ้วนลงพุง (Central obesity)
การเคลื่อนไหวของหลังส่วนล่างจำกัดและมีอาการปวด โดยเฉพาะท่าก้มและแอ่นหลัง
พบการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อสะโพกอย่างชัดเจน
➡️ NKT/NMI Assessment (Neuromuscular Integration/Neurokinetic Therapy):
พบการทำงานที่ถูกยับยั้ง (Inhibited) ของกล้ามเนื้อแกนกลางส่วนลึก (Transversus Abdominis, Multifidus) และกล้ามเนื้อ Gluteus Maximus
ในขณะที่กล้ามเนื้อหลังส่วนตื้น (Erector Spinae), กล้ามเนื้อสีข้าง (Quadratus Lumborum - QL), และกล้ามเนื้องอสะโพก (Iliopsoas) ทำงานหนักและตึงตัวมากเกินไป (Facilitated/Compensating) เพื่อพยายามสร้างความมั่นคงชดเชย
แผนการรักษา (Treatment Plan - เน้นการ "ทำลาย" วงจรอุบาทว์):
🧠 1. Pain Science Education (PSE) - สำคัญที่สุดในการเริ่มต้น!
สร้างความเข้าใจใหม่: เริ่มต้นด้วยการให้ความรู้เพื่อเปลี่ยนมุมมองของคุณสมศักดิ์:
"คุณสมศักดิ์ครับ อาการปวดที่คุณเป็นอยู่มันเป็นเรื่องจริงมากๆ ครับ และถูกต้องที่ว่าน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญ แต่มัน ซับซ้อนกว่าแค่การแบกน้ำหนัก นะครับ"
แนะนำแนวคิดใหม่ (จาก EP 185): "งานวิจัยใหม่ๆ ชี้ว่า 'เซลล์ไขมัน' ของเรามันเหมือนโรงงานเล็กๆ ที่ผลิต 'สารเคมีกระตุ้นการอักเสบ' ออกมาสู่กระแสเลือดตลอดเวลา สารเหล่านี้มันลอยไปทั่วร่างกาย รวมถึงที่หลังของเราด้วย และมันทำให้ เส้นประสาทไวต่อความเจ็บปวดมากขึ้น และทำให้ เนื้อเยื่อซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง ครับ"
อธิบายวงจรอุบาทว์: ใช้ภาพประกอบ (เหมือน Figure 2 ในงานวิจัย) เพื่ออธิบายให้คุณสมศักดิ์เห็นภาพวงจรที่เขาติดอยู่: ภาวะอ้วน ➡️ ปล่อยสารอักเสบ + เพิ่มแรงกดที่หลัง ➡️ เกิดอาการปวด ➡️ กลัวและไม่กล้าเคลื่อนไหว ➡️ ร่างกายยิ่งอ่อนแอลงและอ้วนขึ้น ➡️ ยิ่งปล่อยสารอักเสบมากขึ้นและปวดมากขึ้น
ให้ความหวังและแนวทางใหม่:
"ข่าวดีก็คือ เราสามารถ 'ทำลาย' วงจรนี้ได้ครับ การออกกำลังกายที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่ช่วยเผาผลาญไขมัน แต่ยังเป็นเหมือน 'ยาต้านการอักเสบ' ชั้นดีจากธรรมชาติ ที่จะไปสู้กับสารเคมีเหล่านั้น และช่วยให้สมองลดความไวต่อความเจ็บปวดลงครับ"
การให้ความรู้นี้ช่วยเปลี่ยนความรู้สึกของคุณสมศักดิ์จาก "สิ้นหวัง" เป็น "มีความหวัง" และเปลี่ยนมุมมองต่อการออกกำลังกายจาก "สิ่งที่น่ากลัว" เป็น "เครื่องมือในการรักษา"
📈 2. Load Management & Graded Activity (การจัดการภาระและการเริ่มเคลื่อนไหว):
เป้าหมายคือการทำลายวงจร "การไม่เคลื่อนไหว"
เริ่มต้นด้วยโปรแกรม การเดิน ที่ง่ายและทำได้จริง กำหนดเป้าหมายเป็นจำนวนก้าวหรือเวลาที่ชัดเจนในแต่ละวัน โดยเน้นที่ความสม่ำเสมอ ไม่ใช่ความหนัก
สอนเทคนิคการลุก-นั่ง หรือการปรับท่าทางในการทำงานเพื่อลดภาระที่หลังในชีวิตประจำวัน
⚙️ 3. NKT/NMI Corrective Strategy:
Release (คลาย): ใช้เทคนิคมือและสอนวิธี Self-release ให้กับกล้ามเนื้อ Erector Spinae, QL, และ Hip flexors ที่ทำงานหนักเกินไป
Activate (กระตุ้น): กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อแกนกลางส่วนลึก (TrA, Multifidus) และ Glutes ที่ "หลับ" อยู่ ด้วยท่าออกกำลังกายที่ง่ายและไม่น่ากลัวในท่านอนก่อน
💪 4. Progressive Exercise Program & Collaboration:
เมื่อการทำงานของกล้ามเนื้อพื้นฐานดีขึ้น ค่อยๆ เริ่มโปรแกรมที่ครอบคลุมทั้งความมั่นคงเฉพาะส่วนและความฟิตโดยรวม
Core Stability: พัฒนาท่าฝึกแกนกลางลำตัวจากท่านอนไปสู่ท่าที่มีความท้าทายมากขึ้น
Gluteal Strengthening: เป็นส่วนที่สำคัญมากในการช่วยพยุงหลังส่วนล่าง
General Conditioning: แนะนำการออกกำลังกายแบบ Low-impact อื่นๆ เช่น การปั่นจักรยาน หรือการออกกำลังกายในน้ำ เพื่อช่วยเรื่องสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด และช่วยในการควบคุมน้ำหนักโดยไม่สร้างแรงกระแทกที่หลังมากเกินไปในช่วงแรก
🤝 Collaboration: เน้นย้ำว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมาจากการทำงานเป็นทีม และแนะนำให้คุณสมศักดิ์ปรึกษานักโภชนาการเพื่อรับคำแนะนำด้านอาหารควบคู่กันไป
ผลลัพธ์ (Outcome):
ทัศนคติเปลี่ยน: คุณสมศักดิ์มีความเข้าใจในอาการปวดของตัวเองมากขึ้น ไม่ได้มองว่ามาจากแค่ "น้ำหนัก" แต่เข้าใจถึงบทบาทของ "การอักเสบ" ด้วย เขามีความกลัวลดลงและมีแรงจูงใจในการขยับร่างกายมากขึ้น
วงจรเริ่มกลับทิศ: เมื่อเขาเริ่มเคลื่อนไหวและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาการปวดของเขาก็ค่อยๆ ลดลง เมื่อปวดน้อยลง เขาก็ยิ่งกล้าที่จะเคลื่อนไหวมากขึ้น
ผลลัพธ์ระยะยาว: หลังจากทำกายภาพฯ และปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่องหลายเดือน คุณสมศักดิ์มีน้ำหนักตัวที่ลดลง, อาการปวดหลังลดลงอย่างมาก, และมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและสะโพกที่ดีขึ้น เขาสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมั่นใจมากขึ้น
เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ "ควบคุม" สุขภาพของตัวเองได้ ไม่ใช่เป็นแค่ "เหยื่อ" ของอาการปวดอีกต่อไป
ข้อสังเกต: เคสนี้แสดงให้เห็นว่าการจัดการกับผู้ป่วยปวดหลังเรื้อรังที่มีภาวะอ้วนร่วมด้วยนั้น การให้ความรู้ (PSE) เพื่อเปลี่ยนมุมมองและทำลายวงจรแห่งความกลัวเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุด เมื่อผู้ป่วยเข้าใจ "เหตุผล" ที่ลึกซึ้งของการออกกำลังกายแล้ว การฟื้นฟูในด้านอื่นๆ ก็จะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นมากครับ!
📖 References:
➡️ Ruiz-Fernandez, C., Schol, J., Ambrosio, L., & Sakai, D. (2025). The Vicious Cycle of Obesity and Low Back Pain: A Comprehensive Review. Applied Sciences, 15, 6660.
➡️ Ouchi, N., Parker, J. L., Lugus, J. J., & Walsh, K. (2011). Adipokines in inflammation and metabolic disease. Nature Reviews Immunology, 11(2), 85–97.
➡️ Risbud, M. V., & Shapiro, I. M. (2014). Role of cytokines in intervertebral disc degeneration: pain and disc content. Nature Reviews Rheumatology, 10(1), 44–56.
➡️ Uçar, D., et al. (2020). Sarcopenic obesity and lumbar degeneration: a clinical study. The Spine Journal, 20(10), 1613–1620.
➡️ Zhao, L., et al. (2021). The microbiome-gut-disc axis: a new etiopathogenesis of intervertebral disc degeneration. Journal of Orthopaedic Translation, 26, 57–66.
➡️ Bhandari, M., et al. (2019). The effect of bariatric surgery on lumbar spine pathology: a systematic review and meta-analysis. Surgery for Obesity and Related Diseases, 15(12), 2127–2133.
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพ มี 2 สาขา
!!ยินดีให้คำปรึกษา ฟรี!!
📌สาขา เยาวราช
-แผนที่ : https://g.co/kgs/kXSEbT
-โทร : 080 425 9900
-Line : https://lin.ee/6pVt7JG
📌สาขา เพชรเกษม81
-แผนที่ : https://g.co/kgs/MVhq7B
-โทร : 094 654 2460
-Line :https://lin.ee/cl1hNqe










Comments