top of page

😊 Dr. W EP. 179: "ออกกำลังกายแล้ว 'เข่าจะยิ่งเสื่อม' จริงหรือ? 🤔 ทลายความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับข้อเข่า!"

สวัสดีครับ! Dr. W กลับมาอีกครั้งครับ! โรคข้อเข่าเสื่อม (OA) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก สร้างความเจ็บปวดและจำกัดการใช้ชีวิตให้กับผู้คนนับล้านทั่วโลก (Wood et al., 2023) ในแนวทางการรักษามาตรฐานสากล (เช่น NICE, 2023) การออกกำลังกาย (Exercise therapy) ถูกแนะนำให้เป็น "First-line treatment" เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่าช่วยลดปวด, เพิ่มสมรรถภาพทางกาย, และปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้

แต่! ถึงแม้จะมีหลักฐานมากมายสนับสนุน ประเด็นที่น่าเศร้าคือยังคงมีความเชื่อผิดๆ ที่ฝังแน่นทั้งในตัวผู้ป่วยและแม้แต่ในบุคลากรทางการแพทย์บางท่านว่า การออกกำลังกายอาจจะไป "ทำให้กระดูกอ่อนสึกหรอ" และทำให้ข้อเสื่อม "แย่ลง" (Bunzli et al., 2019) ความเชื่อนี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าออกกำลังกายและพลาดโอกาสที่จะได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด

วันนี้ เราจะมาเจาะลึกบทความเชิงวิพากษ์ (Clinical Commentary) โดย Bricca และคณะ (2025) ที่ได้รวบรวมและสังเคราะห์หลักฐาน เพื่อมา "ทลายความเชื่อ" นี้กัน!

ree

🤔 ความเชื่อที่ว่า 'ออกกำลังกายทำลายเข่า' มาจากไหน? (The Root of the Myth)

➡️ งานวิจัยในอดีตที่ถูกตีความคลาดเคลื่อน: ความกลัวนี้มีรากฐานมาจากงานวิจัยในห้องปฏิบัติการช่วงปี 1970s (เช่น Radin et al., 1971, 1973) ซึ่งทำการทดลองโดยนำข้อต่อของสัตว์มาใส่แรงกระแทกที่ "สูงและซ้ำๆ" จนกระทั่งกระดูกอ่อนเกิดความเสื่อมสลาย ซึ่งสภาวะสุดโต่งในห้องแล็บนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับการทำ "Exercise therapy" ในมนุษย์ ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสม, มีการควบคุม, และใช้แรงในระดับต่ำถึงปานกลาง

➡️ วาทกรรม "Wear and Tear": คือการเปรียบเปรยร่างกายของเราเหมือน "เครื่องจักร" ที่มีชิ้นส่วนต่างๆ และเมื่อใช้งานไปนานๆ ชิ้นส่วนเหล่านั้นก็จะ "สึกหรอและพังไป" ซึ่งเป็นคำเปรียบเทียบที่มีผลอย่างมาก และทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างมาก เพราะร่างกายมนุษย์เป็นเนื้อเยื่อมีชีวิตที่สามารถ "ปรับตัวและซ่อมสร้าง" ได้ ไม่ใช่เครื่องจักรที่เสื่อมแล้วเสื่อมเลย

➡️ ความสับสนระหว่างการออกกำลังกายประเภทต่างๆ: คนทั่วไปมักจะไม่ได้แยกแยะระหว่าง "Exercise therapy (การออกกำลังกายเพื่อการบำบัด)" ที่ถูกสั่งโดยผู้เชี่ยวชาญ, "Exercise (การออกกำลังกายทั่วไป)", และ "Physical activity (กิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวัน)" การที่กิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง (High-impact) เช่น การกระโดด อาจทำให้ผู้ป่วยเข่าเสื่อมบางคนรู้สึกไม่สบาย ไม่ได้แปลว่าการออกกำลังกาย "ทุกชนิด" จะเป็นอันตราย

🔬 ความจริงคืออะไร? หลักฐานงานวิจัยว่าอย่างไร? (The Reality: What Does the Evidence Actually Say?)

➡️ การออกกำลังกาย "ไม่" ทำอันตรายต่อกระดูกอ่อน! (Exercise Does NOT Harm Cartilage!)

บทความของ Bricca และคณะ (2025) ได้รวบรวมข้อมูลจาก Systematic reviews และ RCTs จำนวนมาก (เช่น Bricca et al., 2019a; Bricca et al., 2019b) และได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า การออกกำลังกายบำบัด (Exercise therapy) ไม่ได้ส่งผลเสียต่อ "โครงสร้าง" ของกระดูกอ่อน (ไม่ว่าจะเป็นความหนาหรือปริมาตร) และไม่ได้ส่งผลเสียต่อ "คุณภาพ" ของกระดูกอ่อน (เช่น ระดับ Glycosaminoglycan และคอลลาเจน)

➡️ การออกกำลังกาย "อาจจะ" ช่วยให้สุขภาพกระดูกอ่อนดีขึ้น! (Exercise MAY ENHANCE Cartilage Health)

ในทางกลับกัน มีหลักฐานที่ชี้ว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมอาจจะช่วย "ส่งเสริม" สุขภาพของกระดูกอ่อนได้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อยหรือคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ

➡️ ความสัมพันธ์แบบ Dose-Response (The Dose-Response Relationship):

เราสามารถมองความสัมพันธ์ระหว่างการลงน้ำหนักกับสุขภาพกระดูกอ่อนได้เหมือนการกินยา คือต้องมี "ขนาด (Dose)" ที่พอเหมาะ

ลงน้ำหนักน้อยเกินไป (Sedentary/Underloading): เหมือนการไม่กินยาเลย กระดูกอ่อนจะขาดการกระตุ้น, ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ, และค่อยๆ บางลงและเสื่อมสภาพไป

ลงน้ำหนักที่เหมาะสม (Optimal/Therapeutic Loading): นี่คือโซนของการออกกำลังกายบำบัด เป็นการกระตุ้นที่ "พอดี" ที่จะส่งเสริมให้กระดูกอ่อนแข็งแรงและรักษาสภาพที่ดีไว้

ลงน้ำหนักมากเกินไป (Overloading): เหมือนการกินยาเกินขนาด สามารถนำไปสู่การบาดเจ็บและการเสื่อมสลายได้

เป้าหมายของการทำกายภาพบำบัดคือการออกแบบโปรแกรมที่ช่วยให้ผู้ป่วยอยู่ในโซน "Optimal Loading" นี้ครับ

🧽 เปรียบเสมือน 'ฟองน้ำ': ทำไมการเคลื่อนไหวถึงเป็น 'ยา' สำหรับกระดูกอ่อน (The "Sponge Analogy")

นี่คือคำอธิบายที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เข้าใจว่าทำไมการออกกำลังกายถึงดีต่อกระดูกอ่อนครับ!

กระดูกอ่อนในข้อต่อ (Articular cartilage) เป็นเนื้อเยื่อที่ ไม่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงโดยตรง (Avascular)

แล้วมันได้รับสารอาหารได้อย่างไร? คำตอบคือจาก "น้ำไขข้อ (Synovial fluid)" ที่อยู่รอบๆ ครับ

ให้เราจินตนาการว่ากระดูกอ่อนของเราคือ "ฟองน้ำ" ที่ชุ่มไปด้วยน้ำไขข้อซึ่งเต็มไปด้วยสารอาหาร

เมื่อเราลงน้ำหนักที่ข้อ (เช่น ตอนเดินหรือสควอท): จะเป็นการ "บีบ" ฟองน้ำนี้ ทำให้น้ำเก่าและของเสียถูกดันออกมา

เมื่อเรายกน้ำหนักออกจากข้อ (จังหวะพัก): ฟองน้ำจะ "คลายตัวและดูดซับ" เอาน้ำไขข้อที่สดใหม่และเต็มไปด้วยสารอาหารกลับเข้าไป

กลไกการ "บีบ-ดูด" หรือ "ปั๊ม" ที่เกิดจากการลงน้ำหนักและยกออกสลับกันนี้ จำเป็นอย่างยิ่ง ต่อการหล่อเลี้ยงและรักษาสุขภาพของกระดูกอ่อนครับ การนั่งนิ่งๆ ไม่ขยับเลย ก็เหมือนกับการปล่อยให้ฟองน้ำแช่อยู่ในน้ำเก่าๆ และค่อยๆ เสื่อมสภาพไปนั่นเอง

✅ 3 ขั้นตอนสำหรับนักกายภาพบำบัด (และผู้ป่วย!) เพื่อทลายความเชื่อ (A 3-Step Approach)

Bricca และคณะ (2025) ได้เสนอแนวทาง 3 ขั้นตอนในการสื่อสารกับผู้ป่วยเพื่อแก้ไขความเชื่อที่ผิดๆ นี้:

➡️ 1. ประเมินความเชื่อของผู้ป่วย (Assess Patient Beliefs):

เริ่มต้นการพูดคุยด้วยคำถามปลายเปิดอย่างตรงไปตรงมา เช่น "คุณมีความกังวลไหมครับ/คะ ว่าการออกกำลังกายอาจจะทำร้ายข้อเข่าของคุณ?" เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้แสดงความกลัวและความเชื่อของตนเองออกมา

➡️ 2. แก้ไขความเชื่อที่ผิด (Address Misconceptions):

ใช้เครื่องมือที่เข้าใจง่ายอย่าง "Sponge Analogy" เพื่ออธิบายว่าการเคลื่อนไหวและการลงน้ำหนักที่เหมาะสมนั้น "จำเป็น" ต่อสุขภาพของกระดูกอ่อน

เปลี่ยนมุมมองของผู้ป่วยจาก "ข้อเข่าคือเครื่องจักรที่สึกหรอ" ไปสู่ "ข้อเข่าคือเนื้อเยื่อมีชีวิตที่สามารถปรับตัวและแข็งแรงขึ้นได้"

ย้ำถึงความปลอดภัยและประโยชน์ของการออกกำลังกายบำบัดที่ได้รับการออกแบบมาอย่างเหมาะสม

➡️ 3. ส่งเสริมให้ทำต่อเนื่อง (Promote Adherence):

เนื่องจากประโยชน์ของการออกกำลังกายจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทำอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว จึงควรใช้เทคนิคการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Behavior change strategies) เข้ามาช่วย เช่น การตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่ทำได้จริง, การติดตามผลด้วยตนเอง, และการวางแผนการลงมือทำที่ชัดเจน


💡 Dr. W's Take: ข้อคิดจาก Dr. W

➡️ นี่เป็นหัวข้อที่สำคัญอย่างยิ่งยวดครับ! ความเชื่อผิดๆ ที่ว่า "ออกกำลังกายแล้วเข่าจะพัง" เป็น อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด ที่ขัดขวางไม่ให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ, ปลอดภัย, และคุ้มค่าที่สุด

➡️ ในฐานะนักกายภาพบำบัด เรามีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงที่จะต้อง ทลายความเชื่อที่อันตรายนี้ ด้วยการให้ความรู้ที่ชัดเจนและอิงตามหลักฐานเชิงประจักษ์

➡️ การเปลี่ยนความเชื่อของผู้ป่วยจาก "การเคลื่อนไหวคือสิ่งอันตราย" ไปสู่ "การเคลื่อนไหวคือยา" มักจะเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่การฟื้นฟูที่ประสบความสำเร็จ

➡️ อย่าเพียงแค่ให้ท่าออกกำลังกาย แต่จง อธิบายว่า "ทำไม" ถึงต้องทำท่าเหล่านั้น ใช้คำอุปมาอุปไมยที่เข้าใจง่าย เสริมพลังให้ผู้ป่วยด้วยความรู้ แล้วคุณจะเห็นผลลัพธ์การรักษาที่ดีขึ้นอย่างน่าทึ่งครับ

➡️ และอย่าลืมว่าประโยชน์ของการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมนั้น ไปไกลกว่าแค่เรื่องเข่า มันยังช่วยเรื่องสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด, สุขภาพจิต, การนอนหลับ, และคุณภาพชีวิตโดยรวมอีกด้วย ทำให้มันเป็นการรักษาที่ทรงพลังอย่างแท้จริงครับ!


✨ เคสตัวอย่างจากคลินิก: เมื่อ "ความกลัว" ทำร้ายเข่า... มากกว่าการออกกำลังกาย ✨

คุณป้าสมศรี อายุ 65 ปี เป็นข้าราชการเกษียณที่รักการทำสวนเป็นชีวิตจิตใจ มาที่คลินิก ด้วยอาการปวดเข่าขวาเรื้อรัง คุณป้ามีผล X-ray ที่ยืนยันภาวะ ข้อเข่าเสื่อมระยะปานกลาง (Moderate Knee Osteoarthritis)

การประเมิน (Assessment):

➡️ Subjective (อาการและการรับรู้ของผู้ป่วย):

คุณป้าเล่าว่า: "ปวดเข่าขวามาเป็นปีแล้วค่ะ ยิ่งเดินเยอะยิ่งปวด โดยเฉพาะเวลาจะนั่งยองๆ ลงไปทำสวนนี่ลืมไปได้เลย ตอนเช้าๆ ก็จะรู้สึกเข่ามันฝืดๆ ขยับยาก หมอที่เคยไปหาเขาบอกว่าเป็นเข่าเสื่อมตามวัย ให้พยายาม 'ถนอมเข่า' อย่าใช้งานเยอะ เดี๋ยว 'กระดูกอ่อนมันจะยิ่งสึก' ตอนนี้เลยไม่กล้าเดินออกกำลังกายในหมู่บ้านเหมือนเมื่อก่อนเลย กลัวเข่าจะพัง"

ความเชื่อและความกลัว (Beliefs & Fear): คุณป้ามีความเชื่ออย่างฝังใจว่าการออกกำลังกายหรือการเคลื่อนไหวจะทำให้ข้อเข่า "สึกหรอ" มากขึ้น และมีความกลัวการเคลื่อนไหว (Kinesiophobia) อย่างชัดเจน

➡️ Objective (การตรวจร่างกาย):

สังเกตเห็นว่าคุณป้าเดินลงน้ำหนักที่ขาขวาน้อยกว่าปกติเล็กน้อย

องศาการงอและเหยียดเข่าขวาทำได้จำกัดด้วยอาการปวดและความรู้สึกตึง

พบการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) และกล้ามเนื้อสะโพก (Gluteal muscles) ของขาข้างขวา

➡️ NKT/NMI Assessment (Neuromuscular Integration/Neurokinetic Therapy):

พบว่ากล้ามเนื้อ Vastus Medialis Obliquus (VMO) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อสำคัญในการประคองลูกสะบ้า และกล้ามเนื้อ Gluteus Medius ที่ช่วยสร้างความมั่นคงให้สะโพก ทำงานได้ไม่ดี (Inhibited)

ในขณะที่กล้ามเนื้อ Tensor Fascia Latae (TFL) ที่อยู่ด้านข้างสะโพก และกลุ่มกล้ามเนื้อ Hamstrings ทำงานหนักเกินไป (Facilitated/Compensating) เพื่อพยายามชดเชยกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง


แผนการรักษา (Treatment Plan - เน้นการทลายความเชื่อและฟื้นฟู Function):

🧠 1. Pain Science Education (PSE) & การแก้ไขความเชื่อที่ผิด (Addressing Misconceptions) - ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด!

ประเมินความเชื่อ: เริ่มต้นด้วยการถามคำถามปลายเปิดเพื่อทำความเข้าใจความกังวลของคุณป้า: "เข้าใจว่าคุณป้ากังวลเรื่องเข่าเสื่อมนะครับ ไม่ทราบว่ามีความกังวลไหมครับว่าการออกกำลังกายอาจจะทำให้เข่าเสื่อมมากขึ้น?"

ทลายความเชื่อด้วย "Sponge Analogy":

อธิบายว่า: "อยากให้คุณป้านึกภาพว่ากระดูกอ่อนในเข่าเราเหมือน 'ฟองน้ำ' ครับ มันไม่มีเลือดมาเลี้ยงโดยตรง แต่มันจะได้รับสารอาหารจากน้ำไขข้อที่อยู่รอบๆ"

"เวลาเราขยับเข่าหรือลงน้ำหนักเบาๆ มันเหมือนการ 'บีบ' ฟองน้ำเพื่อไล่น้ำเก่าและของเสียออกมา และพอเรายกน้ำหนักออก ฟองน้ำก็จะ 'ดูดซับ' เอาน้ำไขข้อใหม่ๆ ที่มีสารอาหารดีๆ เข้าไปเลี้ยงครับ"

"ดังนั้น การเคลื่อนไหวที่เหมาะสมต่างหากที่เป็น 'ยา' สำหรับกระดูกอ่อนครับ การที่เรา 'ถนอมเข่า' โดยการอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับเลย มันเหมือนการปล่อยให้ฟองน้ำแช่อยู่ในน้ำเก่าๆ และค่อยๆ เสื่อมสภาพไปโดยไม่ได้รับสารอาหารครับ"

เปลี่ยนมุมมอง: ช่วยเปลี่ยนมุมมองของคุณป้าจาก "ข้อเข่าคือเครื่องจักรที่รอวันพัง" ไปสู่ "ข้อเข่าคือเนื้อเยื่อมีชีวิตที่สามารถปรับตัวและแข็งแรงขึ้นได้" โดยยืนยันว่าหลักฐานงานวิจัยใหม่ๆ ชี้ชัดว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสม "ไม่" ได้ทำให้กระดูกอ่อนสึกหรอลง

📈 2. Load Management (การจัดการภาระงาน):

ในช่วงแรก ให้เริ่มต้นจากกิจกรรมที่คุณป้า ไม่กลัวและไม่เจ็บ เพื่อสร้างความมั่นใจ

แนะนำการปรับเปลี่ยนกิจกรรมทำสวน เช่น เปลี่ยนจากการนั่งยองๆ เป็นการใช้เก้าอี้เตี้ยๆ แทน เพื่อลดแรงกดที่เข่าในมุมที่งอมากๆ

สอนการ pacing หรือการแบ่งกิจกรรมทำเป็นช่วงสั้นๆ สลับกับการพัก

⚙️ 3. NKT/NMI Corrective Strategy:

Release (คลาย): สอนวิธี Self-release ให้กับกล้ามเนื้อ TFL และ Hamstrings ที่ทำงานหนักเกินไป

Activate (กระตุ้น): กระตุ้นการทำงานของ VMO และ Gluteus Medius ที่ "หลับ" อยู่ ด้วยท่าออกกำลังกายที่ง่ายและไม่น่ากลัว เช่น การเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาในท่านั่ง, การขมิบก้นในท่านอน

🏋️‍♀️ 4. Promote Adherence through a Tailored Exercise Program (ส่งเสริมให้ทำต่อเนื่องด้วยโปรแกรมที่เหมาะสม):

เริ่มต้นด้วย Low-Impact:

การปั่นจักรยานอยู่กับที่แบบไม่มีแรงต้าน เพื่อให้เกิดการ "บีบ-ดูด" ของฟองน้ำโดยไม่มีแรงกระแทก

การออกกำลังกายในน้ำ (ถ้าสะดวก)

ค่อยๆ เสริมสร้างความแข็งแรง:

นำท่า Activate จากข้อ 3 มาทำเป็นโปรแกรมที่บ้าน

เพิ่มท่าที่ functional มากขึ้น เช่น การฝึก "ลุก-นั่งเก้าอี้" โดยเน้นการใช้กำลังจากสะโพกและต้นขา

ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่ทำได้จริง: เช่น "สัปดาห์นี้ เรามาตั้งเป้าเดินรอบบ้านให้ได้ 5 นาที วันละ 3 ครั้งกันนะครับ" หรือ "มาลองทำท่าลุก-นั่งเก้าอี้ให้ได้ 10 ครั้งโดยไม่เจ็บกันครับ" การสร้างความสำเร็จเล็กๆ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้อย่างมหาศาล


ผลลัพธ์ (Outcome):

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือทัศนคติ: ความกลัวการเคลื่อนไหวของคุณป้าลดลงอย่างมาก เขากล้าที่จะขยับและใช้งานเข่ามากขึ้นเพราะ "เข้าใจ" แล้วว่ามันเป็นผลดี

เมื่อเริ่มขยับและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม อาการปวดและฝืดตึงที่เข่าก็ค่อยๆ ลดลง

เมื่อกล้ามเนื้อรอบเข่าและสะโพกแข็งแรงขึ้น การทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การเดิน หรือการขึ้นลงบันได ก็ทำได้ดีขึ้นและเจ็บน้อยลง

คุณป้ารู้สึกว่าตัวเองสามารถ "ควบคุม" ภาวะข้อเสื่อมได้ ไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเดียว และสามารถกลับไปมีความสุขกับการทำสวนที่เขารักได้อีกครั้ง

ข้อสังเกต: เคสของคุณป้าสมศรีเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการให้ความรู้ที่ถูกต้องเพื่อ "ทลายความเชื่อที่ผิดๆ (Debunking the myth)" นั้นมีความสำคัญไม่แพ้การให้ท่าออกกำลังกายเลย การเปลี่ยนมุมมองของผู้ป่วยจาก "กลัว" เป็น "เข้าใจ" คือก้าวแรกที่ทรงพลังที่สุดในการฟื้นฟูภาวะข้อเข่าเสื่อมให้ประสบความสำเร็จในระยะยาวครับ!


📖 References ):

➡️ Bricca, A., et al. (2025). Exercise Therapy 'Wears Down' My Knee Joint: Myth or Reality? Journal of Orthopaedic & Sports Physical Therapy.

➡️ Bricca, A., Juhl, C. B., Steultjens, M., et al. (2019a). Impact of exercise on articular cartilage in people at risk of, or with established, knee osteoarthritis: a systematic review of randomised controlled trials. British Journal of Sports Medicine, 53(15), 940-947.

➡️ Bricca, A., Struglics, A., Larsson, S., et al. (2019b). Impact of Exercise Therapy on Molecular Biomarkers Related to Cartilage and Inflammation in Individuals at Risk of, or With Established, Knee Osteoarthritis: A Systematic Review and Meta-Analysis of Randomized Controlled Trials. Arthritis Care & Research, 71(11), 1504-1515.

➡️ Bunzli, S., O'Brien, P., Ayton, D., et al. (2019). Misconceptions and the Acceptance of Evidence-based Nonsurgical Interventions for Knee Osteoarthritis. A Qualitative Study. Clinical Orthopaedics and Related Research, 477(9), 1975-1983.

➡️ Sophia Fox, A. J., Bedi, A., & Rodeo, S. A. (2009). The basic science of articular cartilage: structure, composition, and function. Sports Health, 1(6), 461-468.

➡️ Radin, E. L., & Paul, I. L. (1971). Response of joints to impact loading. I. In vitro wear. Arthritis & Rheumatism, 14(3), 356-362.

➡️ Wood, G., Neilson, J., Cottrell, E., & Hoole, S. P. (2023). Osteoarthritis in people over 16: diagnosis and management-updated summary of NICE guidance. BMJ, 380, p24.


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพ มี 2 สาขา

!!ยินดีให้คำปรึกษา ฟรี!!

📌สาขา เยาวราช

-แผนที่ : https://g.co/kgs/kXSEbT

-โทร : 080 425 9900


📌สาขา เพชรเกษม81

-แผนที่ : https://g.co/kgs/MVhq7B

-โทร : 094 654 2460


 
 
 

Comments


JR Physio Clinic
บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพบำบัด

Our Partner

สาขาเพชรเกษม 81
  • facebook
  • generic-social-link
  • generic-social-link

256/1 Soi.Wuttisuk (Near Nongkhaem Police Station), Nongkhaem, Bangkok 10160

สาขาเยาวราช
  • facebook
  • generic-social-link
  • generic-social-link

9 Rama IV Road, Pom Prap, Pom Prap Sattru Phai, Bangkok 10100

Open hours : MON-SUN 9.00 am - 8.00 pm

©2019 by JR Physio Clinic. Proudly created with Wix.com

bottom of page